เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมะ ฟังธรรมนะ สัจธรรมเป็นความจริง ชีวิตของเราเป็นความจริงๆ แต่ยังเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเรา การเวียนว่ายตายเกิดมานี้เพราะมันมีกรรมดี ถ้าไม่มีกรรมดี สัตว์มันต้องเกิดอยู่แล้ว จิตมันเป็นธรรมชาติรู้ ธรรมชาติรู้มันต้องหมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน ถ้าธรรมชาติของมัน เวลาเราเกิดมีพ่อมีแม่ เรามีพ่อมีแม่ ถ้าใครมีครอบครัวก็มีลูกมีหลานต่อไป ทุกคนมันมีประสบการณ์ทั้งนั้นน่ะ เราก็เป็นลูกมาก่อน เราอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพ่อแม่มาก่อน พ่อแม่มีความปรารถนาดีเรามาขนาดไหน พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาขนาดไหน เราก็เข้าใจได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราไปมีครอบครัว พอมีครอบครัวแล้วจะรักพ่อรักแม่มากขึ้นหลายเท่าเลย เพราะอะไร เพราะไปเลี้ยงลูก ลูกมันจะออดมันจะอ้อน ลูกมันจะเอาแต่ใจมัน พ่อแม่ไปผูกพันกับมัน มันจะระลึกถึงพ่อแม่ของเราทันที ถ้าระลึกถึงพ่อแม่ของเรา นี่ไง ความสัมพันธ์ๆ มนุษย์มีความรู้สึก ความรู้สึกถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะแสวงหาสิ่งที่เป็นความดีของเรา
เวลาเกิดมาทุกคน เวลาเด็ก อยากเป็นอะไร อยากจะเป็นทหาร อยากจะเป็นครู อยากจะเป็นหมอ อยากจะเป็นอะไร อยากเป็นอะไรล่ะ
จะสูงส่งมาขนาดไหนมันก็มีเรือจ้าง มีครูมีอาจารย์พาส่งขึ้นฝั่ง ถ้ามีครูมีอาจารย์พาส่งขึ้นฝั่ง ถ้าเจอครูบาอาจารย์ที่ดีนะ เขาจะเลือกครูบาอาจารย์ที่ดีไง เราไปเลือกโรงเรียนที่ดีๆ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดีนะ เขาดูแลรักษา โรงเรียนจะดีจะเลวขนาดไหน ในโรงเรียนนั้นมันก็มีวิกฤติทั้งนั้นน่ะ เด็กมันมีการเล่นกัน เด็กมันมีปัญหาอะไรกันร้อยแปด นั่นคือโรงเรียน
แต่ครูที่ดีๆ เขาดูแลรักษาไง เขาสอดส่องดูแลเด็กไง เขาพยายามจะให้เด็กนั้นเป็นเด็กที่ดีไง ให้เด็กมีความปลอดภัยไง ครูที่ดีๆ ไง ครูที่ดีก็เป็นเรือจ้าง เรือจ้าง เรือจ้างข้ามฝั่งๆ เราขนอะไรข้ามฝั่งๆ ไปเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดี เราเอาเข้าฝั่ง แล้วถ้าเราหาครูบาอาจารย์ที่ดีอย่างนั้นไม่ได้ เราจะข้ามฝั่งๆ เรามีขอนไม้ เราก็เกาะขอนไม้เอาตัวเราข้ามฝั่งให้ได้ เราพยายามทำของเราไง ถ้าพยายามทำของเรา
จากเรือจ้าง เรือจ้าง เรานั่งสุขสบาย มีผู้คุ้มครองดูแลเรา ถ้ามันเรือจ้างที่ไม่ดี เราก็ต้องหาขอนไม้ หาแพ ต่อแพข้ามฝั่งกันไปเอง เวลาคนลงไปวิกฤติของชีวิต ลงไปอยู่ในน้ำ สายน้ำที่มันพัดมา ไม่มีสิ่งใดจะบรรเทาชีวิตเราเลย มีซากศพมา มีหมาตายมาต้องเกาะเลย คนเราไม่เกาะมันตายนะ แม้แต่ซากสัตว์เรายังต้องอาศัยพึ่งพาชีวิตไป นี่พูดถึงวาสนาของคนๆ
โลกมันเป็นอย่างนั้นน่ะ ธรรมะสัจธรรมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วชีวิตเราล่ะ ชีวิตเรา เอาความรู้สึกเรา เอาชีวิตเราไปแปะไว้ตรงไหนไง ไปแปะไว้ ชีวิตเราเป็นอย่างไร แล้วถ้ามันแปะ มันตรงกับชีวิตของเรา โอ้โฮ! มันจะกระเทือนหัวใจเรามาก กระเทือนหัวใจเรามาก แล้วมันก็ใจจะห่อเหี่ยวไง ใจมันไม่ชื่นบานไง
แต่ถ้าเราไปแปะไว้ เราเป็นเรือจ้าง เราช่วยเหลือเจือจานคนมา โอ้โฮ! จิตใจมันฟูใหญ่โตขึ้นมาเชียว นี่ไง มันมีฟูมีแฟบในใจของเรา ใจของเรา ประสบการณ์ของเรา มันมีสัจธรรมๆ เพื่อชีวิตของเราไง
ชีวิตของเรา สัจธรรมๆ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ชีวิตของคน ผลของวัฏฏะมันมีผลกระทบไปทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีผลกระทบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่ไหนล่ะ สอนเข้ามาในใจของสัตว์โลก สอนเข้ามาในหัวใจของเรา หัวใจของเรามันเกิดมาจากไหน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ธาตุรู้ สันตติที่มีของมันอยู่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันมีของมันมาอย่างนี้ เพราะมันมีของมันมาอย่างนี้ มันถึงสะสมมาเป็นจริตนิสัย มันถึงมีคนเห็นตรงข้าม มีคนเห็นขัดแย้งกันมาตลอด แล้วการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมามันก็ได้สร้างบุญสร้างกรรมกันมา
ฉะนั้น เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถ้าหัวหน้าเป็นโคนำฝูงๆ โคที่มันฉลาดมันจะนำฝูงโคมันข้ามฝั่ง ถ้าโคนำฝูง โคนั้นต้องแข็งแรง แล้วมันลงไปในวังน้ำวน มันจะมองถึงกระแสน้ำน่ะ แม้แต่ตัวโคนั้นมันก็ต้องข้ามฝั่ง ข้ามฝั่งขึ้นไปแล้วมันจะพาฝูงโคนั้นข้ามฝั่งไปๆ ไง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ สอนถึงว่าจิตใจของเรา โคนำฝูงๆ มันจะนำฝูงของมัน มันก็ต้องลงน้ำเหมือนกัน มันก็ต้องว่ายข้ามน้ำไปเหมือนกัน เพราะนำเอาฝูงโคนั้นข้ามไปไง แล้วฝูงโคนั้นจะตามหัวหน้าโคไป มันก็ต้องออกแรง ออกกำลังของมันใช่ไหม มันต้องพยายามขวนขวายเพื่อจะข้ามวังน้ำวนไปใช่ไหม วังน้ำวนก็วัฏฏะไง วังน้ำวนก็ชีวิตไง วังน้ำวนก็เป็นความจริงนี่ไง
แล้วเราจะข้ามฝั่งๆ ไป เราจะรอนั่งเรือจ้าง จะนั่งเรือจ้าง ไม่แตะน้ำเลย
แต่ถ้าจะปฏิบัติๆ มันไปนั่งเรือจ้างได้อย่างไร นั่งเรือจ้าง ดูสิ เวลาเรือมันล่ม คนว่ายน้ำเป็นจะขึ้นฝั่งได้นะ คนว่ายน้ำไม่เป็น เรือมันคว่ำ เรือมันล่ม คนว่ายน้ำไม่เป็น เรือจ้างๆ มันช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ามันจะช่วยตัวเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง สอนที่นี่ไง สติ สมาธิ ปัญญา เกิดมาจากจิตของเรา เราจะไปอยู่ในที่วิกฤติขนาดไหน เราก็เอาชีวิตเรารอดได้ เราไปอยู่ในที่อุดมสมบูรณ์อย่างไร เราก็ไม่ประมาทไง ไม่ประมาทไม่เลินเล่อไปกับชีวิตไง
ธรรมะอ่อนน้อมถ่อมตน มักน้อยสันโดษ สันโดษในอะไร สันโดษในการฟุ่มเฟือยไง สันโดษในการใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไง ถ้ามันสำมะเลเทเมา นี่ฉันมีๆ เศษเงินที่จะซื้อ เงินฉันมหาศาล
เงินมันไม่สำคัญหรอก สำคัญที่เอ็งใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างนั้นมันจะเกิดความเคยชิน มันจะเกิดเป็นสันดาน มันจะเกิดให้นิสัยเอ็งเสีย ไอ้เงินไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่นิสัยคน สำคัญที่ใจคน ใจคนมันสำคัญกว่า ถ้าใจคนสำคัญกว่า มันถึงเกิดความประหยัดมัธยัสถ์ไง ไม่ใช่ว่าเราประหยัดมัธยัสถ์เพราะเราไม่มี...ไม่ใช่
เขามีปัญญา เขามีปัญญาของเขา เขารักษาของเขา เขารักษาหัวใจของเขา เขาไม่ฟุ่มเฟือยจนจิตใจเขาเสียหายไป ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ ย้ำคิดย้ำทำ ใช้สอยบ่อยๆ ไปมันก็จะเป็นความรู้สึกของเธอ มันฝังไปๆ นี่ไง จริตนิสัยๆ ไง ถ้าเรามีสติปัญญา เราคัดเลือกเอา เรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ มันจะไปอยู่ที่ไหน จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เขาเรียกว่าชีวิตเรียบง่าย ชีวิตติดดิน คนที่ชีวิตเรียบง่าย ชีวิตติดดิน เราไม่ต้องเหนื่อยยากจนเกินไป สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์กับเราแล้ว สมบัติของเรา เราเอาออกจากเรือนนะ ไฟไหม้บ้าน กาลเวลามันไหม้ชีวิตเราไป เราทำประโยชน์กับสังคมโลกไว้ๆ เพื่ออะไร เพื่อบารมีธรรมไง บารมีในหัวใจไง
ดูสิ เราเดินผ่านไป ของของเราทั้งนั้นน่ะ เราเผื่อแผ่ให้กับคนอื่น เผื่อแผ่ๆ นะ มันภูมิใจไหม กับเราใช้สอยไปโดยที่เปล่าประโยชน์ มันได้ให้คนนิสัยเสียด้วย เห็นไหม แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา โคนำฝูงมันก็ต้องลงไปในน้ำนั้นด้วย มันก็ต้องแหวกว่ายเอาตัวมันรอดด้วย มันต้องอ่านกระแสน้ำด้วย มันยังหันไปมองข้างหลังอีกนะ ฝูงโคทั้งฝูงมันตามมาน่ะ แล้วมันจะเอาขึ้นฝั่งอย่างไร
สัตว์อพยพเวลาหน้าฤดูหนาว ถ้ามันอยู่กับที่มันจะตายเพราะไม่มีอาหาร มันต้องอพยพ อพยพไปหาที่อบอุ่นกว่า หาที่มีอาหารกว่า แล้วไปวางไข่ ไปฟักลูก หาเลี้ยงจนบินได้ บินได้ เวลาอพยพต้องสะสมกำลังเพื่อบินได้ ปีแรกๆ มันต้องเกาะฝูงไป เส้นทาง ว่าแรงดึงดูดของโลก กระแสแรงแม่เหล็กมันไปถูก มันอพยพข้ามทวีป นกอพยพ กว่ามันจะอพยพของมัน ได้เส้นทางของมันได้ มันก็ต้องฝึกหัดของมัน มันต้องไปตามฝูงของมัน ถ้าฝูงของมัน มันทำของมัน มันเป็นของมัน มันเกิดจากการกระทำทั้งนั้นน่ะ เป็นธรรมๆ ทั้งนั้น ถ้าเป็นธรรม มันชีวิตของมันไง ผลของวัฏฏะไง มันเกิดเป็นนกไง มันเกิดเป็นสัตว์อพยพไง ถ้ามันเกิดเป็นนก นกประจำถิ่นไง มันไม่อพยพไง ถ้าเกิดเป็นสัตว์ สัตว์ในกรงทอง เขาขังไว้ เขาไว้เลี้ยง มันมีอิสรภาพไหม นี่ไง ผลของวัฏฏะๆ มันเกิดที่ไหนไง
ดูสิ มันเกิดเป็นสุนัข สุนัขที่เจ้าของเขามีเงินมีทอง เขาให้มันใส่สร้อยคอเพชร สุนัขมันมีสร้อยคอเพชร นี่ไง ผลของวัฏฏะไง มันเกิดเป็นสุนัขแต่มันก็มีอำนาจวาสนาบารมีของมันไง แต่ของเรา เราเกิดเป็นสุนัข เป็นหมาขี้เรื้อน หาอยู่หากินก็หาอยู่ไม่ได้ พยายามจะออดอ้อนใครก็ไม่มีใครให้กินไง มันก็ต้องกินแต่ของมูตรคูถของมันเองไง มันเป็นหมาขี้เรื้อน นี่เวลามันให้ผลนะ นี่พูดถึงว่าผลบุญผลกรรม
ไม่ใช่เอามาขู่กันนะ อย่าเอามาขู่ ถ้าเอามาขู่ เขาบอกจะดำเนินการทางกฎหมาย จะดำเนินการทางธรรมวินัย จะตกนรกอเวจี
ขู่บ่อยมากเรื่องนรกนี่ ขู่บ่อยมาก นรก อย่าเอามาขู่ นรกหรือ นรกก็เอาไฟจุดมันสิ ถ้านามันรก กวาดให้ดีเข้า จุดไฟเผา นามันก็โล่งโถง ถ้านามันรกนัก
นรกอเวจีมันมีอยู่จริงไหม สวรรค์นรกมีอยู่ไหม สวรรค์นรกมันมีอยู่จริง มันจะเกิดได้ต่อเมื่อคนทำชั่ว คนทำชั่ว ปิดอย่างไรมันก็ลง ถ้าคนมันทำชั่ว ทำชั่วที่ไหน ทำชั่วเพราะใจมันทำ ถ้าใจมันทำ มันรู้ในใจของมัน ไม่ต้องให้ใครมาบัญญัติ ให้ใครมาลงญัตติ มันลงนรกของมันไปโดยธรรมชาติของมัน
แต่ถ้ามันทำดีของมัน มันสร้างคุณงามความดีของมัน มันจะไปนรกของมันได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่มีเหตุ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยมันก็เหมือนคนไม่ได้ทำผิดติดคุกไง โดนยัดข้อหาติดคุกเฉยเลย ถึงเวลาก็ต้องร้องเรียนกว่าจะปลดจากคุก ไอ้นี่มันเรื่องโลกนะ แต่เรื่องกรรมไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องกรรม สัจธรรมมันเป็นข้อเท็จจริงของมันอยู่อย่างนั้น ผลของวัฏฏะๆ ฉะนั้น เอามาขู่กันไม่ได้ มันขู่แต่คนที่ไม่รู้น่ะได้
นรกอเวจีมาขู่กันไม่ได้ นรกอเวจีมันมีของมันอยู่จริง มีของมันอยู่จริง อยู่ที่การกระทำ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นภพภพหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่หนึ่ง ถ้าใครทำเหตุอย่างนั้น สร้างเหตุอย่างนั้น มันถึงจะไปสถานะนั้นได้ ถ้าคนไม่ได้สร้างเหตุอย่างนั้นมันจะไปสถานะนั้นไม่ได้ ถ้าสถานะนั้นแล้วมันลอยออกมาเอง มันเข้าไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ อย่าต้องเอามาขู่กัน ขู่กันไม่ได้ ผลของวัฏฏะๆ มันอยู่ที่การกระทำ ถ้าทำดี มันดีในตัวของมันเอง ถ้าดีในตัวของมันเอง มันจะลงนรกอเวจี เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันจะให้ตัดสินโดยมติ ไม่มี
แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงไม่ต้องตัดสิน มันเป็นความจริงในตัวมันเองอยู่แล้ว เราจะรับรองความสุขของคนอื่นไม่ได้ ความบริสุทธิ์อันนั้นมันเป็นความบริสุทธิ์ของเขาเอง เขาทำของเขาเอง จะสะอาด จะสกปรก จะบริสุทธิ์ผุดผ่องในใจของเขา เขาทำของเขาเอง พอเขาทำของเขาเอง มันถึงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นความจริงของใจดวงนั้น
ใจดวงใดไม่มีมรรคไม่มีผล ใจดวงใดไม่มีการกระทำ พวกเราถึงได้ขวนขวายมาทำบุญกุศลกันอยู่นี่ไง ขวนขวายมาเพื่ออะไรล่ะ สิ่งที่เสียสละไปเป็นวัตถุ สิ่งที่ได้มาๆ คืออารมณ์ความรู้สึกที่ฝังใจนั่นน่ะ สิ่งที่ฝังใจเป็นทิพย์ เป็นทิพย์เพราะอะไร เวลาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม สิ่งนั้นมันจะเกิดผลจากทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติคือผลของเราไง ผลของเราไง แต่ในปัจจุบันนี้มันเป็นวัตถุ มันเป็นวัตถุไง นี่มันฝึกหัดไง ภพของมนุษย์เป็นภพกลางไง มีนรกกับสวรรค์ นรกอยู่ข้างล่าง สวรรค์อยู่ข้างบน แต่เราเป็นภพกลาง ภพกลางเพราะเรามีร่างกายไง เพราะร่างกายนี้มันต้องการอาหารไง ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์มันมีธาตุ ๔ บีบคั้นไง บีบคั้นอะไร บีบคั้นโรคหิว คนไม่มีจะกินนะ ไปขออะไรก็ได้ ขอยังชีพ แล้วเวลาทำผิดติดคุกๆ เพราะอะไรล่ะ เพราะเรามีความจำเป็น เรามีความจำเป็นต้องกิน เรามีความจำเป็นต้องใช้ แต่เราไม่มี เราไม่มี นี่มันบีบคั้น
เวลามันเป็นนักปฏิบัติๆ ร่างกายเวลานั่งมันเจ็บ มันปวด มันเมื่อย เทวดาของเขา เขาเป็นทิพย์หมด เขาไม่มีร่างกายนี้ เขามีรูปร่างเป็นนามธรรม รูปร่างเป็นนามธรรม แต่เขาไม่มีร่างกายที่เป็นวัตถุที่ต้องกินอาหารนี้ นรกอเวจีก็เหมือนกัน เขามีรูปร่างเป็นนามธรรม ฉะนั้น เวลามันย่อยสลายแล้วมันก็รวมขึ้นมาของมันอีก มันอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะนามธรรมนั้นมีความรู้สึกไง นามธรรมนั้นมันเจ็บปวดไง เพราะนามธรรมนั้นมันมีกรรมของมันไง นี่ผลของนรกสวรรค์มันเป็นอย่างนั้น แต่มันอยู่ที่การกระทำนี้ๆ
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เทวดา อินทร์ พรหมเขาไม่มีร่างกายบีบคั้นเขา เวลามาฟังเทศน์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเทศน์เรื่องอริยสัจ เทศน์เรื่องทุกข์ ของเราลองนั่งดูสิ เจ็บปวดทั้งนั้นน่ะ เวลานั่งไปมันเกิดทั้งนั้นน่ะ เพราะร่างกาย ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ กิริยาไหนก็แล้วแต่ที่เราทนอยู่ไม่ได้นั่นคือทุกข์ อารมณ์ที่เราทนอยู่ไม่ได้คือทุกข์ แล้วเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันไง เราจะสับเปลี่ยนไง เราจะสับเปลี่ยนให้ทุกข์มันหายไง แล้วความเคยชินของเราไง ความเคยชินเวลาเราเมื่อย เราขบเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถไง เราก็เลยไม่รู้จักทุกข์ไง แล้วก็บอกว่าทุกข์มันเป็นอย่างไร ทุกข์มันเป็นอย่างไร
ก็ทุกข์มันอยู่บนหัวใจนั่นไง ทุกข์มันอยู่บนหัวใจนั่นน่ะ ทุกข์ของเราๆ
เราเป็นมนุษย์ไง มนุษย์ที่ว่ามนุษย์เป็นอริยทรัพย์ มนุษย์มีโอกาส มีโอกาสตรงนี้ มีโอกาสตรงที่เราเห็นทุกข์จริงๆ เราเห็นร่างกายบีบคั้นจริงๆ เรามีความจำเป็นต้องกิน เรามีความจำเป็น แต่ความจำเป็นนั้นเราก็มองเป็นวิทยาศาสตร์ไง เป็นธรรมชาติ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรามาคิดสิ แล้วเวลาเทวดา อินทร์ พรหมเขากินอะไรล่ะ อาหาร ๔ ในวัฏฏะ อาหาร ๔ เกิดในภพใดชาติใด กินอาหารอย่างใด อยู่อย่างใด เขาอยู่ของเขาอย่างไร สถานะเขาอยู่ของเขาอย่างไร นี่ไง ผลของวัฏฏะๆ ไง
ฉะนั้น เรื่องนรกสวรรค์ก็เรื่องนรกสวรรค์ อย่าเอามาขู่ ขู่ไม่ได้ มันอยู่ที่เหตุ ใครทำดีทำชั่วต่างหาก ทำดีทำชั่วอันนั้นเป็นต้นเหตุ ถ้ามันมีเหตุแล้วมันก็ปิดบังวิบากกรรมอันนั้นไม่ได้ ใครทำกรรมสิ่งใด กรรมนั้นให้ผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ใครจะทำกรรมชั่วขนาดไหน เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีกันว่ะ เราจะทำกรรมดีๆ แต่กรรมดีมันไปขวางตาสัตว์โลก มันไปขวางหูขวางตาเขาหมดล่ะ แต่ถ้าทำตามเขาไป กระแส เออ! ดีครึ่งๆ กลางๆ ใช้ได้ ดีกว่ากู ไปได้ ถ้าดีจริงๆ รับไม่ได้ รับไม่ได้ ตกนรกนะ ตกนรก...ว่าไปนู่น
นี่ไง นั่นเรื่องของเขาๆ ใครจะทำชั่วเรื่องของเขา หลวงตาสอนว่าเราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ แล้วความดีๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ ความดีมันเป็นอย่างไร คนดีทะเลาะกันอีกแล้ว คนดีกำลังจะทะเลาะกันอีก เพราะความดีไง ไปยึดติดในดีของเขาไง แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงของเรา ความจริงเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าตามข้อเท็จจริงนั้น นี่พูดถึงสัจจะมันข้อเท็จจริงเลยล่ะ มันหลีกจากข้อเท็จจริงไปไม่ได้ คนเราเกิดมาต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา ชีวิตทั้งชีวิตทุกข์เหนื่อยยากกันอย่างนี้ ทุกข์เหนื่อยยากกันอย่างนี้มันอยู่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
แต่จริงๆ แล้วถ้าเรามาวัดมาวา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังธรรมเพื่อเตือนสติเราไง ความรู้สึกนี้ หัวใจนี้มันทุกข์นะ แล้วหัวใจมันถึงเวลาของมัน มันต้องเคลื่อนย้ายไปนะ มันต้องเคลื่อนย้ายจากร่างกายนี้ออกไปนะ ถ้ามันจะเคลื่อนย้ายไป เรามีสติปัญญาขนาดไหน เราจะสมบัติมีจริงอยู่หรือไม่ สมบัติหาไว้ขนาดไหนไว้กับโลกนี้ๆ ถ้าคนที่เขาสืบต่อไปเขารักษา แล้วเขาเจือจานกันมันก็เป็นประโยชน์ไป ถ้าเขาไม่เจือจานกัน สิ่งนั้นเป็นโทษๆ ขึ้นมาให้ผลเป็นลบทันทีเลย สิ่งนั้นเพราะอะไรล่ะ เพราะว่าเราอบรมสั่งสอนของเรามาเอง เราทำของเรามาเองไง
ฉะนั้น ถ้ามันมีสติมีปัญญา จิตนี้มันเรียกร้องความช่วยเหลือนะ แล้วถ้าความช่วยเหลือของมัน ศีลธรรมๆ เท่านั้น ศีลธรรมเป็นนามธรรม สิ่งที่โยมให้มาเป็นทาน เป็นกิริยาไหม กิริยาที่การยื่นให้มันจบไปแล้วนะ ถ้าจบไปแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นกิริยา สิ่งที่เป็นนามธรรมมันฝังใจไว้ แล้วถ้าใครมีสติปัญญาฝึกหัดภาวนาขึ้นมา ถ้าพุทโธๆ เข้าไปถึงใจของตนจะเห็นใจของตนชัดเจนเลย พอเห็นใจของตนชัดเจนแล้ว เรื่องคำสอนศาสนามันเชื่อถือมากขึ้นแล้ว เพราะมันจับต้องได้แล้ว พอมันจับต้องได้แล้วมันใช้สติปัญญาขึ้นไป มันจะเกิดวิปัสสนาไง
โคนำฝูงๆ โคนำฝูง ฝูงโคนั้น หัวใจดวงนั้นมันได้ผ่านวิกฤติ มันได้ผ่านวัฏฏะ มันมีการกระทำ โคนำฝูงๆ โคนำฝูงมันเห็นช่องทางของมัน มันเห็นการกระทำของมัน โคนำฝูงนั้นจะนำฝูงโคนั้นไป โคนำฝูง ครูบาอาจารย์ที่มีสติปัญญา เพราะมันต้องลงน้ำ มันต้องผ่านกระแส มันต้องผ่านการกระทำ โคนำฝูงๆ ในหัวใจนั้นน่ะ ผลของวัฏฏะ มันจะนำหัวใจนั้นให้พ้นจากทุกข์ไปไง
ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง หัวใจที่มันทุกข์มันยาก เราดูแลรักษามัน ดูแลรักษามันด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยการฝึกฝนของเรา เราต้องลงน้ำ เราต้องมีการกระทำ เราต้องขวนขวายเพื่อให้หัวใจเรามีการกระทำ มันจะเกิดมรรคเกิดผล เกิดจากการกระทำ จะเป็นสมบัติของเรา เอวัง